วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

FINAL !!




ดำเนินการมาถึงขั้นสุดท้ายแล้วว
และแล้วก็เสร็จไปได้ด้วยดี
ปรับเปลี่ยนบทนิดหน่อย
เนื่องจากได้ฟุตเทจแอบถ่ายของจริงในชีวิตครอบครัวมา








คลิกเพื่อรับชม



"ทฤษฎีกฏการถ่ายภาพแบบเก้าช่องที่ว่าด้วยความเพอร์เฟคของภาพ
หากแต่ใครที่ได้ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ย่อมขาดความสมบูรณ์แบบนี้ไป
ขึ้นอยู่กับว่า ความจริงนี้ เราจะเดินหนีไป หรือยอมรับมัน"








อยากให้มี






กฏสามส่วน 









เกมส์ OX


เก้าซีน หรือเก้าพาร์ท หรือเก้าสถานที่
เก้าคำคม เก้าเหตุการณ์ 

score




ได้วง TIMELINE มาช่วยทำเพลงสั้นๆให้
ฟังแล้วชอบมาก


แต่ตอนนี้อยู่ในขั้นพัฒนาเพลงต่ออีกนิด เพื่อเกลาให้เข้ากับเพลง


LOCATION + BLOCKSHOT 2



บ้านตึกแถวของพระเอก












บางปู 



วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

block shot & location









เตรียมการก่อนถ่ายจริง





Prop ที่จะใช้

ในเรื่องตัวเอกแขนหัก ก็เลยเซิร์ทกูเกิ้ลว่าควรทำยังไงดี
ผลลัพธ์คือ ใช้เฝือกอ่อน
ไปตระเวณหาร้านขายยาอยู่หลายที่ แต่ไม่มีที่ไหนขายเลย
ก็เลยต้องไปถึงศิริราช เพื่อหาซื้อแล้วก็เจอจนได้












  อัลบั้มรูปเก่าเอาไว้ใช้ในซีนหลักๆ












automatic writing








   "NINE PERFECT"




วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

Story board + Mood and tone




STORY BOARD


































MOOD AND TONE 
และมุมกล้อง




ฉากในบ้าน

ฉากเจออัลบั้ม

ฉากตระเวณถ่ายภาพ ก่อนจะล้ม

ฉากเดินหาที่ถ่ายภาพ

ฉากสะดุ้งตื่นในห้อง


ฉากทำมือเป็นวิวไฟล์เดอร์





ขอบคุณ
MV จาก GREASY CAFE'
ภาพยนตร์ 36













SCREENPLAY


หลังจากใฟห้อาจารย์ดูแล้ว 
ปรากฏว่าเรื่องหลวมไปหน่อย 
เลยปูเรื่องเพิ่มอีกนิดนึง  :)





Screen play  “ทฤษฎีเก้าช่อง”


sc 1 / สตูดิโอ / กลางวัน

ในสตูดิโอที่กำลังวุ่นวาย มีเสียงอื้ออึงของพนักงาน เบื้องหน้าของแทนมีนางแบบกำลังแอคติ้งท่าทาง
แทนกำลังยุ่งวุ่นวายกับงานถ่ายภาพ มีทีมงานเดินไปเดินมาเยอะแยะ ทุกคนทำงานดูมืออาชีพมาก 

แทนกำลังจัดองค์ประกอบภาพ บอกตำแหน่งให้แบบขยับซ้ายขวา
CU กล้องเปิดโหมดเก้าช่อง ในวิวไฟล์เดอร์ ภาพอยู่ในเก้าช่อง
เสียงของแทนนับสามสองหนึ่ง เป็นสัญญาณ และยกมือเป็นสัญญาณ
ไฟแฟลช เสียงแฟลชดังขึ้นมา พรึ่บ!  
ภาพกลายเป็นสีขาว ขึ้นชื่อเรื่อง “ทฤษฎีเก้าช่อง” แบบ fade in

cut

sc 2 / ทุ่งหญ้ากว้างๆ และอีกหลายๆที่เป็นคัทย่อย / บ่าย เย็น


ถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆหลายๆคัท (แทนตะเวณถ่ายรูป)

ทุ่งหญ้ากว้างๆ แสงแดดยามบ่ายส่องลงมา แทนเดินถ่ายรูปอยู่ในทุ่งนั้น สีหน้าของเขาใจจดใจจ่อกับการถ่ายรูป เสียงชัตเตอร์ดังเป็นระยะๆ 
ELS แทนเดินจากขวาเฟรมไปซ้ายเฟรม ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ
CU สะดุดขาตัวเอง
LS ตกลงไปในน้ำหรือสะดุดหงายล้มลง

cut


sc 2 / ห้องนอน รกๆหน่อย เหมือนคอนโด / กลางดึก


แทนสะดุ้งตื่น เขาลุกพรวดขึ้นมากลางดึก (ภาพสวนทางกับที่หงายลงไป) 
เขาทำท่าเหมือนฝันร้าย หายใจหอบ เหงื่อท่วมตัว 
สักพักเขาจึงหันไปมองที่แขนของตัวเอง และพบว่าแขนและนิ้วขวาของเขาหักอยู่ 
เขามองมันซักพัก  และล้มตัวลงนอน 
เขาลืมตามองเพดานหน้าตาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
POV เพดานทิ้งไว้ซักพัก กระพริบเหมือนตาคน แล้วค่อยๆเฟดจางลง  เป็นพื้นดำ เหมือนคนปิดตาลง


sc 3 / ห้องพัก หรือคอนโดที่เดิม / สายๆ

ภาพห้องพักว่างๆ มีเสียงเปิดก๊อกน้ำเหมือนล้างหน้าอยู่
ELS แทนเดินออกมาจากประตูห้องน้ำในห้อง เขาเดินมาเปิดตู้หยิบมาม่าออกมา กดน้ำร้อน

เขาโดนน้ำร้อนลวกมือจนสะดุ้ง แล้วเอามือไปจับหู
เขาหยิบถ้วยมาม่าอย่างทุลักทุเล ไปวางบนโต๊ะและรอมาม่าได้ที่ เขามองไปรอบๆ

POV สายตามองไปเจอรางวัลต่างๆ 

Flash back เร็วๆรัวๆ ภาพไหล้อนมาในวันที่เขาเคยได้รางวัลต่างๆนาๆ

เขาหันกลับมามองมาม่าอีกครั้ง และตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เสียงดังตื้ดอยู่สองสามที

แทน
“ฮัลโหล เออกูเอง ช่วยไรกูหน่อยดิวะ”

cut

sc 5 / ในห้องพัก คอนโด / กลางวัน

CU ถุงกับข้าวกำลังวางลงบนโต๊ะ 
MLS เพื่อน มีแทนเป็นแบล็กกราวเบลอๆ 

เพื่อน
“แค่ซื้อกับข้าวแค่นี้ ทำไมไม่ซื้อเองวะ”

แทน
“ไอสัด ก็กูแขนหักอยู่นี่ไง”

เพื่อน
“มึงใช้แขนเดินหรือไงวะ”

แทน
“ไอเหี้ย แค่นี้ก็ช่วยๆกูหน่อยไม่ได้ไง? กูขาดแขนข้างถนัดไปเหมือนกูทำไรไม่เป็นเลย”

เพื่อน
“ช่วยมันช่วยได้ แต่กูไม่ได้ว่างมาช่วยมึงทุกวันนะ ทำไมมึงไม่กลับบ้านไปอยู่กับแม่มึงซักพักวะ”

แทน
“กูไม่ได้กลับบ้านมาหลายปี จะให้กโผล่หัวกลับไปตอนนี้ก็เหี้ยละ”

เพื่อน (เดินออกไป)
“งั้นมึงก็หัดทำไรเองด้วยแขนข้างซ้ายมึงละกัน กูไปละ”

แทน
“เออๆๆ คราวหน้าเอากระเพราะหมูกรอบนะ”

เพื่อน (เดินออกไปทางประตู ตะโกนกลับมา)
“ซื้อเอง!” (กวนๆ)

เสียงประตูปิดดัง ปัง!


sc 6/ ในห้องพัก คอนโด / กลางวัน

แทนหยิบภาพล้างแล้วที่เขาถ่ายมานั่งเลือก เขาเลือกภาพที่องค์ประกอบไม่สวยกองไว้อีกกองนึง
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว เขาหยิบกองที่ดีวางไว้ในกล้อง และหยิบงานที่ไม่ดีทิ้งลงขยะ



sc 7 /  ระเบียง / บ่ายๆ

แทนยืนมองออกไปข้างนอกระเบียง(กล้องถ่ายจากด้านหลัง) 
เขาพยายามเอามือทำเป็นกรอบรูปคล้าย view finder แล้วยิงไปที่ท้องฟ้า เขาส่องไปมา
เสียงโทรศัพเข้า
เขาหันไปมองในห้องและเดินไปหยิบโทรศัพท์

แทน
“ฮัลโหล”
“แม่หรอครับ (เว้น) ก็สบายดี (เว้น) แม่รู้ได้ไงว่าผมแขนหัก (เว้น)
ก็ไม่เป็นไรมากหรอก (เว้น) ไม่เป็นไรแม่ ผมอยู่คนเดียวได้ (เว้น) จริงๆ (เว้น)
ก็ลำบากนิดหน่อย (เว้นนานๆเลย) โอ้ยแม่ ผมอยู่คนเดียวมาหลายปีแล้วไม่ลำบากอะไรมากมายหรอกน่า (เว้น) งั้นผมกลับแค่สามสี่วันนะ (เสียงหงุดหงิดเล็กๆ) 

แทนกดวางสาย ถอนหายใจเล็กๆ เอามือกุมหัว
(จัดภาพเป็นให้แขนเด่นจะได้ไม่ต้องโคสอัพ)


sc 8 / ประตู หน้าห้องพัก / บ่าย

CU เขาปิดประตู และเดินออกจากห้องหายไปจากทางเดิน

sc 9 / หน้าบ้าน / เช้า

แทนกดออดหน้าบ้าน (เหมือนจะสื่อว่าเขาจากบ้านไปนานจนกลายเป็นคนแปลกหน้า)
แม่วิ่งมาเปิดประตูให้เขา ตะโกนว่า “อ้าว แทน”

ตัดมอนทาจซีเคว้นเป็นอยู่บ้านมาสองสามวันแล้ว (สถานที่โปร่งๆหน่อย)
ทำกิจกรรมต่างๆ อ่านหนังสือ , เล็งกล้องด้วยมือ , วาดรูปเล่น
(ตั้งกล้องที่เดิม แต่คนเปลี่ี่ยนชุดเปลี่ยนกิจกรรม)




เขานั่งอยู่ที่บ้านเหมือนเคยเช่นทุกวัน เขาเจออัลบั้มเก่าในช่องเก็บของของตู้
เขาค่อยๆหยิบมันออกมาดูทีละใบๆ เขานั่งดูรูปซักพักและพบภาพของตัวเองกับพ่อ  
พ่ออุ้มเขายังเล็กๆด้วยความรัก ยิ้มอย่างมีความสุข เขาหยิบมันออกมาจากอัลบั้มพลาสติกใสใส

เขายกมันขึ้นมาดู จ้องมันอยู่นาน จนแม่เดินเข้ามา (แม่เห็นแต่ขาก็ได้ พากย์เสียงเอาถ้าหาคนเล่นไม่ได้)

แม่พูดกับเขาว่า “ตอนนั้นพ่อเขาเห่อแกมากนะ แม่ว่านี่เป็นภาพที่ดีทีเดียวนะ”
แทนมองหน้าแม่ เพื่อฟัง “ผมว่าองค์ประกอบภาพก็งั้นๆแหล่ะ มันไม่ค่อยสวยในสายตาผม”
“ถ้าแกมัวแต่มองภาพด้วยสมอง แกก็คิดได้แค่นี้แหล่ะ แต่ถ้าแกใช้ใจ..มันจะไม่ใช่่แบบนี้”
เขาหันหน้าเลี่ยงกลับไปมองทางอื่น เขาทำหน้าเหมือนลำบากใจและสับสน แต่เขาก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ชีวิตผม ผมอยากเลือกมันเอง” เขาทำท่าจะเก็บรูปนั้นลงอัลบั้มอย่างเก่า
แม่พูด “พ่อเขาเสียใจนะที่เคยบังคับแก เขารอแกกลับมา เขารอขอโทษ แต่แกก็ไม่โผล่หน้าแม้กระทั่งงานศพ”
“แม่เลิกพูดเหอะ” เขาถอนหายใจออกมา
“แม่ไม่ได้ว่าแกนะ แต่แกน่าจะให้อภัยพ่อแก เหมือนที่พ่อแกเคยให้อภัย” แม่เงียบซักพัก แทนยังคงมองไปทางอื่น แต่หูของเขายังฟัง “ชีวิตคนเรามันไม่เพอร์เพคเหมือนรูปภาพที่แกถ่ายหรอก รููปถ่ายมันจัดฉากได้ แต่ชีวิตมันจัดไม่ได้” แม่เงียบอีกซักพัก แทนค่อยๆหันหน้าไปมองแม่ “เอ้อ เดี๋ยวแม่ทำข้าวให้กินนะ แม่จะโชว์ให่้สุดฝีมือเลย” แม่เปลี่ยนเรื่องแล้วดเดินจากไป  แทนหันไปดูรูปภาพในมืออีกครั้ง



sc 10 / หน้าบ้าน /  เย็น

แทนกับแม่นั่งคุยกันบนโต๊ะกินข้าว
แทนอยู่ซ้ายแม่อยู่ขวา ไม่มีเสียง ใช้ดนตรีแทน 


sc 11 / หน้าบ้าน /  เย็น

แทนกอดแม่เพื่อร่ำลา มีกระเป๋าสะพายเป้ใบหนึ่ง


sc 12 / คอนโด / กลางวัน

แทนจัดข้าวของในห้องใส่กล่อง 
เขาหยิบภาพพ่อกับเขาที่เอามาจากบ้าน เขาค่อยๆใส่มันไว้ในกระเป๋าเงิน
เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก 

เสียงติ๊ด (โทรออก)
ภาพดำ 

แทน
“ฮัลโหลแม่ เก็บของหมดแล้วนะ ผมจะย้ายไปตอนเย็นนะ เจอกันครับ”



END







อยู่ในช่วงหา mood n' tone 
หาต่อไป
หาต่อไป
หาต่อไป 
:)


วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

idea




บันทึกระหว่างการเดินทางสู่จินตนาการ..





LOG-LINE 

"ชายผู้เป็นช่างภาพอาชีพ เขาเชี่ยวชาญในการจัดองค์ประกอบภาพ
จนใครๆต่างพากันยกย่อง..........
ทว่าเขากลับล้มเหลวในการจัดองค์ประกอบชีวิตของตัวเอง"





ความจริงชอบหนังดราม่าที่เป็นเรียลฯนะ อยากลองทำดูซักครั้ง :)





อยากได้โทนสีภาพประมาณนี้ ภาพทิ้งๆประมาณนี้





ขอบคุณวีดีโอจากภาพยนตร์เรื่อง "36"






ส่วนตัวเป็นคนชอบเพลงของวงนี้นะ ได้แรงบันดาลใจ
มาเขียนบทแล้วหลายเพลง ต่อยอดได้เรื่อยๆ 


คิดว่าต้องมีหลายคนที่ไม่ศรัทธาในชีวิตครอบครัว คล้ายๆเรานะ
ขอบคุณเพลง "สิ่งเหล่านี้"








อยากได้มุม extreme long shot ของเพลงนี้ 
ในตอนที่ตัวละครหนังของเราออกไปหาถ่ายภาพ
'มุมกว้างๆ ฟ้าหมองๆ เขายืนคนเดียว'



ขอขอบคุณเพลง "สูญ"





ภาพถ่ายจะจัดองค์ประกอบยังไงก็ได้ จัดฉากให้คนเป็นยอดมนุษย์ก็ยังได้
แต่สุดท้ายแล้วเราก็รู้อยู่แก่ใจเองว่า "มันไม่จริง"





หนังที่สร้างมาจากจิตใจภายในตัวเราเอง 
เรามั่นใจว่าจะสามารถทำมันออกมาได้ดี

มันก็คงเหมือนกับข้าวที่เราทำเอง - กินแล้วก็อร่อย





อยากถ่ายทอดสิ่งที่เป็นปมบางอย่างในจิตใจให้คนอื่นได้รับรู้ผ่านผลงาน
เชื่อว่าต้องมีซักคนที่เข้าใจมันนะ.








วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ME






------ Autobiographical's Ployser ------




Beginnings: 
เกิดเวลาประมาณแปดโมงเช้า วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ .. 2535 (ปีวอก)
เกิดโดยการผ่าคลอดครั้งที่สี่ของแม่
ตอนเกิดสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง คุณหมอก็เลยให้เอาเข้าตู้อบสี่ห้าวัน 
หลังจากนั้นคุณหมอก็สั่งให้แม่ต้องคอยอุ้มไปรับวิตามินบีจากแสงแดดตอนเช้าทุกๆวัน 

Health:
โรคประจำตัว = ภูมิแพ้ (แพ้ฝุ่นและอากาศเย็น) ถ้าแพ้มากๆจะเป็นถึงขั้นเลือดออกในลำคอ เคยกำเริบอย่างหนักช่วงน้ำท่วมในปี 2554 ที่ผ่านมาเพราะอากาศในกรุงเทพฯ จึงต้องย้ายไปพักที่เชียงใหม่ชั่วคราว , พาหะโรคทาลัสซีเมีย (เลือดจาง) หน้ามืดง่าย และหากเป็นอาการต่างๆที่เกี่ยวกับเลือดจะทรุดเร็วกว่าคนปกติ
อุบัติเหตุ = .. 2541 (ช่วงอายุ 6 ปี) เคยตกจากราวเหล็กสูงในสนามเด็กเล่นที่โรงเรียน เลือดออกมาก ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาสองวัน
.. 2543 (ช่วงอายุ 8 ปี) เคยตกจากราวเหล็กเพราะโดนผลักลงมากระแทกพื้นคอนกรีตจนหลังอักเสบต้องพักหนึ่งวันที่ห้องพยาบาลและหนึ่งวันที่บ้าน
สุขภาพ = โดยรวมเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก มักเป็นไข้ง่ายและติดเชื้อง่าย (เคยติดเชื้อในกระแสเลือดสามครั้ง)

Early influences: 
ช่วงมัธยมต้นเคยเป็นเด็กเรียนมาก สอบได้ไม่เกินที่สามของห้องทุกเทอม จนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหุ่นยนต์ มันไม่ใช่ชีวิต พอใกล้จะขึ้นมัธยมปลายก็เริ่มเกเร ชอบไปมีเรื่องกับคนอื่นเพราะเป็นคนใจร้อน จนแม่ต้องขอร้องให้เลิกมีเรื่อง แต่พอขึ้นมัธยมปลายก็ยังเกเร ติดเพื่อน และติดเที่ยว แต่เมื่อได้รู้จักกับเพื่อนและรุ่นพี่กลุ่มนึงเป็นกลุ่มผู้นำด้านกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน ก็เลยถูกชักชวนเข้าไปในกลุ่มนั้น หลังจากนั้นมาก็เป็นคนทำกิจกรรมมากขึ้น ทำสิ่งดีๆให้คนอื่น ทำประโยชน์ให้โรงเรียน เริ่มตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่ยังใช้ชีวิตที่สนุก (แต่มีสาระ) ไปได้พร้อมๆกัน จนทุกวันนี้ก็ยังแวะเวียนกลับไปดูรุ่นน้องๆที่ทำสืบทอดกันไปตลอด แล้วก็ยังรู้สึกดีที่ได้เปลี่ยนตัวเอง

Relations: 
คนรู้จักในชีวิตคนเรามันมากมาย แต่ขอพูดถึงแค่ไม่กี่คน
แม่ = ในชีวิตนี้ไว้ใจแม่แค่คนเดียว มีอะไรก็จะบอกกับแม่ทุกๆอย่าง ไม่เคยโกหกและปิดบัง ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นแม่เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในชีวิต (จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต เล่าเจ็ดวันก็คงไม่จบ) เลยไม่อยากจะทำอะไรให้แม่ต้องเสียใจ
ตา = จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนวิธีคิดก็คือตา แต่กลับคิดได้ก็ตอนตาเสียไปแล้ว มีเหตุการณ์หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต ที่ทำให้เห็นว่าชีวิตมันไม่ได้แคบอย่างที่คิด มีคนหลากหลายประเภทมากกว่าคนเห็นแก่ตัวในกรุงเทพฯ (ไม่ได้เหมารวมคนในกรุงเทพฯ แต่เอามาจากทุกเหตุการณ์ที่เจอ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว) เมื่อคิดถึงตาก็จะร้องไห้ทุกๆครั้ง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

School:
ตอนจบ .2 ต้องย้ายโรงเรียนไปเรียน .3 ที่เชียงใหม่ ซึ่งที่นั้นเป็นโรงเรียนลูกคุณหนู ถูกเพื่อนที่โรงเรียนใหม่แกล้ง ทีแรกก็แค่ล้อๆ หลังๆเริ่มกลายเป็นการผลักตกจากที่สูง (อ่านเพิ่มเติมที่ข้อมูลอุบัติเหตุ) จนตอนหลังเริ่มไม่ยอมและได้แกล้งกลับจนไม่มีใครกล้าแกล้งอีก (อยู่ตัวคนเดียวก็ต้องพึ่งตัวเอง) แต่อีก 3 เดือนต่อมา พ่อจะย้ายบ้านกลับกรุงเทพฯกะทันหัน คุณครูประจำชั้นจึงเรียกไปคุยและให้กล่องดินสอสีฟ้ามาเป็นที่ระลึก พร้อมให้ไปนั่งที่ห้องคนเดียว รู้สึกแปลกใจที่ไม่มีใครอยู่เลย แต่ก็พบว่าเพื่อนๆไปซุ่มกันซ้อมร้องเพลงอำลาให้ ที่หน้าห้อง พอร้องจบก็มีเพื่อนคนหนึ่งยื่นกระดาษที่เป็นเนื้อเพลงนั้นให้ แล้วก็ได้รอยยิ้มจากเพื่อนในห้องที่เชียงใหม่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
พอย้ายกลับมากรุงเทพฯ ก็เลยไม่ยอมให้ใครมาแกล้งอีก เป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงที่สุดในห้อง สามารถงัดข้อ หรือล้มเด็กผู้ชายตัวใหญ่ๆได้แบบสบายๆชิวๆ (แต่ที่นี่ไม่มีใครแกล้ง มีแต่เพื่อนน่ารักๆ กันเอง)
ตอนมัธยมได้เข้ากลุ่มผู้นำทางกิจกรรมและมีจุดเปลี่ยนอีกครั้งในชีวิต เริ่มเข้าสู่โหมดเด็กบ้ากิจกรรมและบ้าทำค่าย
เคยย้ายโรงเรียนมาแล้วทั้งสิ้น 6 โรงเรียน

Special activities:
งานพิเศษ = หารายได้จากการทำค่าย ได้น้อยแต่คุ้มค่ากับความสุข (แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ทำแล้ว) , เคยลองไปแคสติ้งพิธีกรแล้วเข้ารอบห้าสิบคนแต่ในตอนแคสติ้งนั้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเอง และมาแน่ใจว่าไม่ชอบการยืนหน้ากล้องก็ตอนไปเล่นโฆษณาชิ้นนึง (เหตุผลที่ไปทำก็คือแม่อยากเห็นแล้วก็ได้เงินจำนวนหนึ่ง) แล้วพบปัญหามากมายภายในกับโมเดลลิ่ง เลยตั้งตนว่าจะไม่ทำงานหน้ากล้องอีก จะทำหลังกล้องอย่างเดียว
งานอดิเรก = ทำงานศิลปะ (เลอะๆเทอะๆ แต่ภูมิใจ) แปะตามฝาผนังบ้านไปเรื่อยเปื่อย

Journeys:
ท่องเที่ยว = ไม่ชอบไปที่ไหนเลยนอกจากเชียงใหม่ ไม่ว่าจะให้เลือกไปที่ไหนก็จะไปเชียงใหม่อยู่ดี
ย้ายบ้าน = บ้านเกิดอยู่ที่เวิ่้งนาครเกษมในกรุงเทพฯ แล้วย้ายไปในเมืองจังหวัดเชียงใหม่ แล้วกลับมาอยู่ที่เขตตลิ่งชันในกรุงเทพฯอีก

Adolescence:
ในชีวิตชอบการเจาะหูมาก เจาะมาตั้งแต่ม.1 จนถึงตอนนี้รวมแล้ว 8 รู (กำลังจะไปเจาะเพิ่ม) และวางแผนไว้ว่าเรียนจบแล้วจะไปสักที่หลังไหล่ด้านซ้ายเป็น illuminati (หรือไม่ก็รูปอื่น แล้วแต่สถานการณ์ตอนนั้น)


Major conflicts:
จุดเปลี่ยนแล้วก็การตัดสินใจในชีวิตมีหลายครั้งมาก

ครั้งแรก เป็นการเริ่มเข้ากลุ่มผู้นำกิจกรรมของโรงเรียนซึ่งตอนนี้ทุกๆคนร่วมกันสร้างชื่อเสียงและผลงานจนกลายเป็น
องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไปแล้ว ถือเป็นการดึงเด็กเกเรๆคนนึงขึ้นมาแล้วเปลี่ยนลักษณะความคิด เพิ่มความเป็นผู้ใหญ่ 
ความคิดเชิงเหตุผลและตรรกะ

ครั้งที่สอง ได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่เป็นพี่รหัสตอนมัธยม พี่คนนี้แหล่ะที่เป็นคนคอยถามตลอดว่า "รู้รึยังว่าอยากเป็นอะไร อย่าปล่อยให้ตัวเองรู้ช้าเกินไปนะ
พี่เขาเป็นคนที่เรียนสายวิทย์แต่ชอบศิลปะ เขารู้สึกว่าถ้าเรียนสายศิลป์ตั้งแต่แรกเขาก็จะทุ่มเทให้ศิลปะได้มากกว่านี้ 
เลยไม่อยากให้เราเป็นแบบนั้น พี่เขาเป็นคนพาเราไปเรียนติวศิลปะที่มหาวิทยาลัยศิลปากรตั้งแต่อยู่มัธยมปีที่สี่ 
ติวเพื่อที่จะเข้าคณะมัณฑนศิลป์ สาขานิเทศศิลป์  ซึ่งตอนนั้นตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องเข้าให้ได้ จึงติวอย่างหนักหน่วง 
จนถึงมัธยมปีที่หก (ถึงผลสุดท้ายจะสอบไม่ติด เพราะช่วงก่อนสอบเกิดปัญหาไม่มีที่เรียนติว 
เนื่องจากพี่ที่ติวให้ย้ายไปติวในสถาบัน แล้วมันแพงมาก แม่ไม่ยอมให้ไปที่นั้น ความจริงเคยสอบตรงติดคณะสถาปัตยกรรม 
ของมหาวิทยาลัยลาดกระบังฯด้วย แต่แม่ก็ไม่ยอมให้เรียนอีก) แต่นี่ก็คือจุดเปลี่ยนและหันมาทำงานศิลปะอย่างจริงจังจนถึงทุกวันนี้

ครั้งสุดท้าย คือตอนที่คุณตาเสีย จำได้ว่าตอนนั้นกำลังจะไปเรียนพิเศษแถวศรีย่านซึ่งไกลบ้านมากพอสมควร 
(ด้วยความอยากเอนท์ติดก็ถ่อดั้นด้นไปเรียนกวดวิชาดีๆ) ตอนอยู่บนรถเมล์พ่อก็โทรศัพท์เข้ามา บอกว่า 
"คุณตาลื่นล้มที่บ้านของคุณตา ยายมาเจอ ตายแล้ว" บอกตรงๆว่าตอนนั้นนึกว่าคุณตาลื่นล้มเฉยๆ 
นึกว่าคำว่าตายแล้วของพ่อเป็นคำอุทานเท่านั้น ก็เลยงงๆ  พอพ่อเห็นว่าเงียบไปก็พูดขึ้นมาว่า 
"เย็นนี้แม่จะขึ้นไปเชียงใหม่ ไปจัดงานศพตา" เท่านั้นแหละ น้ำตาไหลออกจากตาทันทีโดยไม่แคร์สายตาใครบนรถเมล์เลย 
คนเขามองก็ช่าง ร้องตั้งแต่บนรถเมล์ เดินไปกวดวิชาก็ร้อง ในห้องเรียนยังร้องจนทุกคนหันมามองเป็นพักๆ 
แต่ตอนนั้นมันไม่แคร์อะไรแล้ว พอถึงจุดที่ไม่ไหวก็เลยขอลาออกมาก่อนเพื่อจะกลับบ้าน 
ก่อนกลับก็ได้โทรหาพ่อว่าจะไปกี่โมง ในตอนนั้นคิดว่าเราครอบครัวจะไปกันทั้งหมด เพราะคุณตาเสียทั้งคน 
แต่ไม่ใช่สรุปก็คือพ่อให้แม่ไปเอง คนที่เหลืออยู่ที่บ้าน เราก็เลยโวยวายว่า แค่ทำให้คนตายครั้งสุดท้ายทำไมไม่ทำ
แต่ก็โดนพ่อด่าต่างๆนาๆ บอกว่าไปแล้วจะทำให้คนตายฟื้นมั้ย มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป ไม่ต้องยุ่ง เราว่ามันก็เป็นความจริง 
แต่เป็นความจริงที่ "เห็นแก่ตัว" โดยนิสัยของพ่อแล้วก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ในตอนนั้นเราไม่เชื่อว่าการที่เราไปเรียนอย่างปกติเราจะเรียนได้ 
เราอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตถ้าไม่ได้ไปงานศพคุณตาแค่สองสามวัน ตอนนั้นทะเลาะกับพ่อขั้นรุนแรงบ้านแตก 
ด้วยเราเชื่อว่าพ่อเห็นแก่ตัวเกินไป และเราคิดว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การเรียนหนังสือแต่เป็นความกตัญญูหรืออะไรต่างๆก็ตามที่ไม่มีสอนในตำรา 
เราตัดสินใจเก็บประเป๋าเพื่อจะหนีออกจากบ้านไปเชียงใหม่คนเดียวทันที แต่ก่อนจะออกไปเราก็เจอพี่ชาย 
ซึ่งเมื่อคุยกับพี่ชายแล้วก็เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่ขัดพ่อ แล้วก็ไม่ยอมให้เราไปคนเดียว 
รุ่งขึ้นเราไม่ยอมไปเรียนหนังสือจนพ่อโกรธแต่ตอนนั้นเราอยากจะทำอะไรก็ได้ให้พ่อคิดได้ ในตอนเย็นเรานั่งร้องไห้อยู่ในบ้าน 
ในใจคิดถึงคุณตา ไหว้สิ่งศักดิ์ในบ้าน นึกในใจว่าขอให้ได้เห็นหน้าคุณตาเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ได้ทำอะไรเพื่อเขา 
ได้แสดงความกตัญญูที่ไม่ทันได้ทำให้ ครั้งสุดท้ายแล้ว แต่แล้วเพื่อนก็โทรมาถามว่าทำไมวันนี้ไม่ไปเรียน เราก็เลยเล่าไป 
เพื่อนก็บอกต่อว่า อ้าวทำไมไม่ไป เราก็บอกว่าไปได้ไงพ่อไม่ยอมให้ไป เพราะต้องหยุดเรียน 
เพื่อนหัวเราะออกมาแล้วก็บอกว่านี่ไงมีโอกาสแล้ว พุธ พฤ ศุกร์ ยันเสาร์อาทิตย์นี้ อาจารย์บอกว่าหยุดยาว เพราะเป็นวันพระใหญ่  (เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีหยุด
เราขอบคุณเพื่อนมากที่บอกและลองไปคุยดีๆกับพ่อ สุดท้ายก็คุยกันเกือบเช้า แล้วก็ได้ไปจริงๆ แต่ต้องไปกับพี่ชายด้วย 
พอไปถึงก็ได้เรียนรู้น้ำใจของคนบ้านนอกที่มาช่วยงาน รู้สึกภูมิใจที่เป็นหลานคุณตามากขึ้นไปอีก 
ได้เรียนรู้ชีิวิตที่ไม่ใช่ชีวิตในห้องเรียน ตอนนั้นถือเป็นจุดครั้งยิ่งใหญ่สุดให้กับความคิดของเราและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่


People you have loved:
ความจริงรักทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนี้ อยู่ที่ว่ารักเขาแบบไหน มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง 
แต่รักมากที่สุดก็คือแม่ เพราะมีเรื่องของความไว้ใจและผูกพันเข้ามาเกี่ยวด้วย


People you have hated:

คนที่เกลียดแบบเกลียดไปเลยคงไม่มี แต่คนที่ทั้งรักทั้งเกลียดในคราวเดียวกัน อาจเป็นเพราะการกระทำของคนเหล่านั้น ที่ทำให้เราต้องรู้สึกเกลียดนิสัยบางอย่าง แต่คงไม่เกลียดทั้งหมด คนเรามันก็มีข้อดีของตัวเอง เขาก็คงมีด้วย เราเชื่อว่าไม่มีใครดีและเลวเพียงอย่างเดียวหรอก


Vocation: 
วันหยุดนี่ถือเป็นสุดยอดของชีวิตในวัยนี้เลย เพราะงานหนักทั้งงานนอกงานในมหาวิทยาลัย ไหนจะต้องเรื่องที่บ้านต่างๆนาๆ
แต่ถึงจะหยุดยังไงก็ได้แค่นอน หรือเอางานเก่ามาทำเท่านั้น
ปกติถ้าเลือกให้ไปพักร้อนอะไรแบบนี้ ก็จะไปบ้านของคุณยายที่เชียงใหม่ เป็นบ้านหลังเล็กๆ เปิดประตูออกไปเป็นทุ่งข้าวและภูเขา มีหมอกตอนเช้า อากาศโปร่ง ร้อนแค่กลางวัน ตอนเช้าจะสบายมาก เคยคิดว่าแก่แล้วจะไปอยู่ที่นั่นและใช้ชีวิตอย่างสงบ 


Avocation:
งานอดิเรกก็คือศิลปะการวาดภาพต่างๆ เป็นเพียงอย่างเดียวที่ชอบมากตั้งแต่เด็กยันโต 
รู้สึกว่าเราทั้งภูมิใจสบายใจที่ได้ทำมัน และไม่รู้สึกเสียเวลาแม้จะใช้เวลากับศิลปะไปเป็นวันๆ็เถอะ


Arts:
ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เคยรู้แน่ชัดว่าอะไรถึงทำให้ชอบ รู้แต่ทำแล้วสบายใจ
พอโตมาก็เริ่มจริงจังกับศิลปะมากขึ้น อยากเรียน อยากทำงานด้านนี้โดยตรง 
ตอนนี้เรียนภาพยนตร์ ถึงไม่ใช่ศิลปะที่ใช้พู่กันวาดแบบศิลปะแขนงอื่น 
แต่มันก็คือการใช้จินตนาการวาด ให้เป็นรูปร่าง มันคือศิลปะที่เรารัก


Beliefs:
เชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในสิ่งต่างๆ

นับถือคริสต์ - พุทธ (แต่เป็นนิกายเซ็น ที่ว่าด้วยความเรียบง่าย
เราเอาคำสอนทั้งสองศาสนาที่เรา "เชื่อ" มารวมกันแล้วเกิดเป็นความเชื่อของเราเอง
ซึ่งเราไม่ถือว่าเป็นการทรยศพระเยซูหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเรานับถือท่านทั้งสองคน
เราคิดว่าไม่มีศาสนาไหนถูกไปซะหมดและผิดไปซะหมด ทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี มีประสงค์ดี 
ต่อให้คนเราประกาศปาวๆว่ารักศาสนาไหน แต่ไม่ได้ทำตาม มันก็ไม่เกิดผลสำเร็จอะไรในชีวิตหรอก


Celebrations: 
ที่บ้านไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษไม่ค่อยจัดงานฉลองอะไรเลย แต่เราจะแสดงความยินดีกันด้วยรอยยิ้มมากกว่า



Life’s lessons:
ประสบการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เราเกิดจนเราตายนั่นแหล่ะ เราคิดว่าทุกๆอย่างที่พบเจอ 
แม้กระทั่งเหยียบโดนหมากฝรั่งที่ถูกทิ้งตามถนน ก็ตาม มันก็สอนให้ต่อไปเราต้องเดินอย่างระวังหรือไม่ประมาทได้
อยู่ที่เราจะนำมันไปคิดหรือเปล่า มันจะเกิดผลก็ตรงนี้ เพราะต่อให้เจอเรื่องใหญ่แค่ไหน แต่ไม่เกิดกระบวนการคิดที่มีประโยชน์เลยมันก็เท่านั้นเอง
เราเจอมาเยอะเลยทั้งเหตุการณ์เล็กใหญ่ ทุกๆอย่างสอนเราทั้งหมด เราอาจไม่ได้เกิดกระบวนการคิดตลอดเวลา 
แต่เราก็พยายามเข้าใจมันไปด้วย นั่นก็คือการสอนตัวเองวิธีหนึ่ง



Future:
อยากทำงานในเบื้องหลังวงการภาพยนตร์ ในตำแหน่งไหนก็ได้ ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้อย่างจริงจังว่าอยากทำอะไร
มีครอบครัวที่สุขสบาย ไม่ถึงกับร่ำรวยล้นฟ้า ขอแค่กลับบ้านมาเจอรอยยิ้ม ไม่มีปัญหาในครอบครัวก็พอ
อยากมีบ้านหลังเล็กๆริมภูเขา ไว้อยู่ในเวลาที่ต้องการความสงบ








"ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตก็คือชีวิต"







วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

my free writing

















ความสุขไม่เคยอยู่กับใครได้นานเลย
หรือความสุขอาจเป็นแค่ภาพลวงตา เป็นความหลอกลวงที่แท้ที่คนเราสร้างไว้บดบังความเศร้าของตัวเอง 
หรือว่ามันเกิดขึ้นเพียงพริบตาแล้วหายไป แต่สิ่งที่ยังเหลือคือความทรงจำ
อดีตได้แต่คอยทำร้าย มันกลับมาทำร้าย ในตอนที่รู้สึกว่าปัจจุบันดีแล้วแต่อดีตก็ยังคอยทำร้าย
ทำไมต้องร้องไห้ในเวลาเศร้า ทั้งที่อยากจะหัวเราะออกมา
ทำไมต้องนึกย้อนกลับไปให้รู้สึกเจ็บใจ ทั้งๆที่รู้ว่าย้อนกลับไปก็ทำอะไรไม่ได้
ต้องทำยังไง ทำยังไง ทำยังไง ไม่รู้เลย ไม่มีใครรู้เลย ไม่มีใครรู้คำตอบเลย
ฝันร้ายยังต้องวนเวียน อดีตต่างๆนาๆซ้ำๆ ความรุนแรง คำพูดต่ำๆ การกระทำทำร้ายใจใครต่อใคร
หรือความจริงในอดีตเราทำดีที่สุดแล้วแต่ก็ทำได้แค่นั้น ทำอะไรไม่ได้แล้ว นั่นสิทำอะไรไม่ได้
หรือความจริงอาจยังทำไม่ดีพอเลยนึกเสียใจทีหลัง 
เจ็บใจ เจ็บใจ เจ็บใจ เจ็บใจ เจ็บใจ เจ็บใจ แต่ทำไมทำอะไรไม่ได้
อยากย้อนกลับไปถามคนๆนั้นว่าทำไมต้องทำตัวแย่ๆ ทำให้คนที่รัก ทำให้ครอบครัวต้องเสียใจ
หลายต่อหลายคน หลายต่อหลายครั้ง หลายต่อหลายหน
แต่ย้อนไม่ได้ ทำไม่ได้ ต่อให้ย้อนได้ก็เปลี่ยนจิตใจใครไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้เลย
โลกนี้เชื่อใจใครไม่ได้เลย แม้แต่ตัวเองก็เชื่อไม่ได้ 
อยากเชื่อแต่ทำไม่ได้ ทำยังไงก็ทำไม่ได้
คนที่เคยเชื่อใจที่สุด ตอนนี้เชื่อไม่ได้แล้ว
ความผิดไม่เคยได้รับการให้อภัยอย่างแท้จริง แม้จะให้อภัยอย่างแท้จริง
ห้องเงียบๆ เสียงนาฬิกาเดินทีละวิ ไม่มีเสียงใครเลย 
สมองโล่ง คิดอะไรไม่ออก คิดไม่ออก
ความทรงจำเป็นได้แค่ความทรงจำ ภาพถ่ายจะจัดองค์ประกอบหรือแสงยังไงก็ได้
จัดฉากให้คนเป็นยอดมนุษย์ก็ได้ บินบนฟ้าก็ได้ แต่ในที่สุดแล้วเราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่จริง
คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเท่านั้นถึงจะรู้ ช่างถ่ายภาพ นางแบบนายแบบ และคนในกองเท่านั้น
คนอื่นไม่เคยรู้ความจริง แค่ได้ดูภาพคนยิ้มก็คิดว่ามีความสุขดีแล้ว
สุดท้ายแล้วเราก็คงต้องเดินหน้าไปพร้อมกับความหลัง
ในเมื่อแก้อะไรไม่ได้ ก็คงทำได้แค่ทำตอนนี้ให้ดี ถึงมันจะดูแย่ในอนาคต แต่ก็คงดีได้ที่สุดแล้ว
ตอนนี้มีความสุขแล้วหรือยัง ความสุขที่แท้จริง อยู่ที่ไหน อยู่ตรงไหน
หรือมันไม่มีอยู่จริง ความสุข.


"ภาพถ่ายจะจัดองค์ประกอบหรือแสงยังไงก็ได้
จัดฉากให้คนเป็นยอดมนุษย์ก็ได้ บินบนฟ้าก็ได้ แต่ในที่สุดแล้วเราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่จริง"







วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

memory pictures :D





D O   Y O U   R E M E M B E R  ?







My mom and me :D
Happy birth day to me 
Chiangmai girls <3
My first time for photograph






Smile :D

my mom and dad

Dancer gangster!

lol   :D

the little fat girl
my old best friend 
first time for use computer
My Organization in high school

very lovely teacher <3

high school

miss sakura!

awesome friends n' teacher
the last sport day

congrat!

first cake from friends

travel in the forest

freshy

freshy friends <3

happy birth day my lovely friends

sea time !

freshy night

step thxs!!

runway project



family :D

flood!

lanna culture <3