วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ME






------ Autobiographical's Ployser ------




Beginnings: 
เกิดเวลาประมาณแปดโมงเช้า วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ .. 2535 (ปีวอก)
เกิดโดยการผ่าคลอดครั้งที่สี่ของแม่
ตอนเกิดสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง คุณหมอก็เลยให้เอาเข้าตู้อบสี่ห้าวัน 
หลังจากนั้นคุณหมอก็สั่งให้แม่ต้องคอยอุ้มไปรับวิตามินบีจากแสงแดดตอนเช้าทุกๆวัน 

Health:
โรคประจำตัว = ภูมิแพ้ (แพ้ฝุ่นและอากาศเย็น) ถ้าแพ้มากๆจะเป็นถึงขั้นเลือดออกในลำคอ เคยกำเริบอย่างหนักช่วงน้ำท่วมในปี 2554 ที่ผ่านมาเพราะอากาศในกรุงเทพฯ จึงต้องย้ายไปพักที่เชียงใหม่ชั่วคราว , พาหะโรคทาลัสซีเมีย (เลือดจาง) หน้ามืดง่าย และหากเป็นอาการต่างๆที่เกี่ยวกับเลือดจะทรุดเร็วกว่าคนปกติ
อุบัติเหตุ = .. 2541 (ช่วงอายุ 6 ปี) เคยตกจากราวเหล็กสูงในสนามเด็กเล่นที่โรงเรียน เลือดออกมาก ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาสองวัน
.. 2543 (ช่วงอายุ 8 ปี) เคยตกจากราวเหล็กเพราะโดนผลักลงมากระแทกพื้นคอนกรีตจนหลังอักเสบต้องพักหนึ่งวันที่ห้องพยาบาลและหนึ่งวันที่บ้าน
สุขภาพ = โดยรวมเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก มักเป็นไข้ง่ายและติดเชื้อง่าย (เคยติดเชื้อในกระแสเลือดสามครั้ง)

Early influences: 
ช่วงมัธยมต้นเคยเป็นเด็กเรียนมาก สอบได้ไม่เกินที่สามของห้องทุกเทอม จนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหุ่นยนต์ มันไม่ใช่ชีวิต พอใกล้จะขึ้นมัธยมปลายก็เริ่มเกเร ชอบไปมีเรื่องกับคนอื่นเพราะเป็นคนใจร้อน จนแม่ต้องขอร้องให้เลิกมีเรื่อง แต่พอขึ้นมัธยมปลายก็ยังเกเร ติดเพื่อน และติดเที่ยว แต่เมื่อได้รู้จักกับเพื่อนและรุ่นพี่กลุ่มนึงเป็นกลุ่มผู้นำด้านกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน ก็เลยถูกชักชวนเข้าไปในกลุ่มนั้น หลังจากนั้นมาก็เป็นคนทำกิจกรรมมากขึ้น ทำสิ่งดีๆให้คนอื่น ทำประโยชน์ให้โรงเรียน เริ่มตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่ยังใช้ชีวิตที่สนุก (แต่มีสาระ) ไปได้พร้อมๆกัน จนทุกวันนี้ก็ยังแวะเวียนกลับไปดูรุ่นน้องๆที่ทำสืบทอดกันไปตลอด แล้วก็ยังรู้สึกดีที่ได้เปลี่ยนตัวเอง

Relations: 
คนรู้จักในชีวิตคนเรามันมากมาย แต่ขอพูดถึงแค่ไม่กี่คน
แม่ = ในชีวิตนี้ไว้ใจแม่แค่คนเดียว มีอะไรก็จะบอกกับแม่ทุกๆอย่าง ไม่เคยโกหกและปิดบัง ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นแม่เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในชีวิต (จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต เล่าเจ็ดวันก็คงไม่จบ) เลยไม่อยากจะทำอะไรให้แม่ต้องเสียใจ
ตา = จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนวิธีคิดก็คือตา แต่กลับคิดได้ก็ตอนตาเสียไปแล้ว มีเหตุการณ์หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต ที่ทำให้เห็นว่าชีวิตมันไม่ได้แคบอย่างที่คิด มีคนหลากหลายประเภทมากกว่าคนเห็นแก่ตัวในกรุงเทพฯ (ไม่ได้เหมารวมคนในกรุงเทพฯ แต่เอามาจากทุกเหตุการณ์ที่เจอ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว) เมื่อคิดถึงตาก็จะร้องไห้ทุกๆครั้ง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

School:
ตอนจบ .2 ต้องย้ายโรงเรียนไปเรียน .3 ที่เชียงใหม่ ซึ่งที่นั้นเป็นโรงเรียนลูกคุณหนู ถูกเพื่อนที่โรงเรียนใหม่แกล้ง ทีแรกก็แค่ล้อๆ หลังๆเริ่มกลายเป็นการผลักตกจากที่สูง (อ่านเพิ่มเติมที่ข้อมูลอุบัติเหตุ) จนตอนหลังเริ่มไม่ยอมและได้แกล้งกลับจนไม่มีใครกล้าแกล้งอีก (อยู่ตัวคนเดียวก็ต้องพึ่งตัวเอง) แต่อีก 3 เดือนต่อมา พ่อจะย้ายบ้านกลับกรุงเทพฯกะทันหัน คุณครูประจำชั้นจึงเรียกไปคุยและให้กล่องดินสอสีฟ้ามาเป็นที่ระลึก พร้อมให้ไปนั่งที่ห้องคนเดียว รู้สึกแปลกใจที่ไม่มีใครอยู่เลย แต่ก็พบว่าเพื่อนๆไปซุ่มกันซ้อมร้องเพลงอำลาให้ ที่หน้าห้อง พอร้องจบก็มีเพื่อนคนหนึ่งยื่นกระดาษที่เป็นเนื้อเพลงนั้นให้ แล้วก็ได้รอยยิ้มจากเพื่อนในห้องที่เชียงใหม่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
พอย้ายกลับมากรุงเทพฯ ก็เลยไม่ยอมให้ใครมาแกล้งอีก เป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงที่สุดในห้อง สามารถงัดข้อ หรือล้มเด็กผู้ชายตัวใหญ่ๆได้แบบสบายๆชิวๆ (แต่ที่นี่ไม่มีใครแกล้ง มีแต่เพื่อนน่ารักๆ กันเอง)
ตอนมัธยมได้เข้ากลุ่มผู้นำทางกิจกรรมและมีจุดเปลี่ยนอีกครั้งในชีวิต เริ่มเข้าสู่โหมดเด็กบ้ากิจกรรมและบ้าทำค่าย
เคยย้ายโรงเรียนมาแล้วทั้งสิ้น 6 โรงเรียน

Special activities:
งานพิเศษ = หารายได้จากการทำค่าย ได้น้อยแต่คุ้มค่ากับความสุข (แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ทำแล้ว) , เคยลองไปแคสติ้งพิธีกรแล้วเข้ารอบห้าสิบคนแต่ในตอนแคสติ้งนั้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเอง และมาแน่ใจว่าไม่ชอบการยืนหน้ากล้องก็ตอนไปเล่นโฆษณาชิ้นนึง (เหตุผลที่ไปทำก็คือแม่อยากเห็นแล้วก็ได้เงินจำนวนหนึ่ง) แล้วพบปัญหามากมายภายในกับโมเดลลิ่ง เลยตั้งตนว่าจะไม่ทำงานหน้ากล้องอีก จะทำหลังกล้องอย่างเดียว
งานอดิเรก = ทำงานศิลปะ (เลอะๆเทอะๆ แต่ภูมิใจ) แปะตามฝาผนังบ้านไปเรื่อยเปื่อย

Journeys:
ท่องเที่ยว = ไม่ชอบไปที่ไหนเลยนอกจากเชียงใหม่ ไม่ว่าจะให้เลือกไปที่ไหนก็จะไปเชียงใหม่อยู่ดี
ย้ายบ้าน = บ้านเกิดอยู่ที่เวิ่้งนาครเกษมในกรุงเทพฯ แล้วย้ายไปในเมืองจังหวัดเชียงใหม่ แล้วกลับมาอยู่ที่เขตตลิ่งชันในกรุงเทพฯอีก

Adolescence:
ในชีวิตชอบการเจาะหูมาก เจาะมาตั้งแต่ม.1 จนถึงตอนนี้รวมแล้ว 8 รู (กำลังจะไปเจาะเพิ่ม) และวางแผนไว้ว่าเรียนจบแล้วจะไปสักที่หลังไหล่ด้านซ้ายเป็น illuminati (หรือไม่ก็รูปอื่น แล้วแต่สถานการณ์ตอนนั้น)


Major conflicts:
จุดเปลี่ยนแล้วก็การตัดสินใจในชีวิตมีหลายครั้งมาก

ครั้งแรก เป็นการเริ่มเข้ากลุ่มผู้นำกิจกรรมของโรงเรียนซึ่งตอนนี้ทุกๆคนร่วมกันสร้างชื่อเสียงและผลงานจนกลายเป็น
องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไปแล้ว ถือเป็นการดึงเด็กเกเรๆคนนึงขึ้นมาแล้วเปลี่ยนลักษณะความคิด เพิ่มความเป็นผู้ใหญ่ 
ความคิดเชิงเหตุผลและตรรกะ

ครั้งที่สอง ได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่เป็นพี่รหัสตอนมัธยม พี่คนนี้แหล่ะที่เป็นคนคอยถามตลอดว่า "รู้รึยังว่าอยากเป็นอะไร อย่าปล่อยให้ตัวเองรู้ช้าเกินไปนะ
พี่เขาเป็นคนที่เรียนสายวิทย์แต่ชอบศิลปะ เขารู้สึกว่าถ้าเรียนสายศิลป์ตั้งแต่แรกเขาก็จะทุ่มเทให้ศิลปะได้มากกว่านี้ 
เลยไม่อยากให้เราเป็นแบบนั้น พี่เขาเป็นคนพาเราไปเรียนติวศิลปะที่มหาวิทยาลัยศิลปากรตั้งแต่อยู่มัธยมปีที่สี่ 
ติวเพื่อที่จะเข้าคณะมัณฑนศิลป์ สาขานิเทศศิลป์  ซึ่งตอนนั้นตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องเข้าให้ได้ จึงติวอย่างหนักหน่วง 
จนถึงมัธยมปีที่หก (ถึงผลสุดท้ายจะสอบไม่ติด เพราะช่วงก่อนสอบเกิดปัญหาไม่มีที่เรียนติว 
เนื่องจากพี่ที่ติวให้ย้ายไปติวในสถาบัน แล้วมันแพงมาก แม่ไม่ยอมให้ไปที่นั้น ความจริงเคยสอบตรงติดคณะสถาปัตยกรรม 
ของมหาวิทยาลัยลาดกระบังฯด้วย แต่แม่ก็ไม่ยอมให้เรียนอีก) แต่นี่ก็คือจุดเปลี่ยนและหันมาทำงานศิลปะอย่างจริงจังจนถึงทุกวันนี้

ครั้งสุดท้าย คือตอนที่คุณตาเสีย จำได้ว่าตอนนั้นกำลังจะไปเรียนพิเศษแถวศรีย่านซึ่งไกลบ้านมากพอสมควร 
(ด้วยความอยากเอนท์ติดก็ถ่อดั้นด้นไปเรียนกวดวิชาดีๆ) ตอนอยู่บนรถเมล์พ่อก็โทรศัพท์เข้ามา บอกว่า 
"คุณตาลื่นล้มที่บ้านของคุณตา ยายมาเจอ ตายแล้ว" บอกตรงๆว่าตอนนั้นนึกว่าคุณตาลื่นล้มเฉยๆ 
นึกว่าคำว่าตายแล้วของพ่อเป็นคำอุทานเท่านั้น ก็เลยงงๆ  พอพ่อเห็นว่าเงียบไปก็พูดขึ้นมาว่า 
"เย็นนี้แม่จะขึ้นไปเชียงใหม่ ไปจัดงานศพตา" เท่านั้นแหละ น้ำตาไหลออกจากตาทันทีโดยไม่แคร์สายตาใครบนรถเมล์เลย 
คนเขามองก็ช่าง ร้องตั้งแต่บนรถเมล์ เดินไปกวดวิชาก็ร้อง ในห้องเรียนยังร้องจนทุกคนหันมามองเป็นพักๆ 
แต่ตอนนั้นมันไม่แคร์อะไรแล้ว พอถึงจุดที่ไม่ไหวก็เลยขอลาออกมาก่อนเพื่อจะกลับบ้าน 
ก่อนกลับก็ได้โทรหาพ่อว่าจะไปกี่โมง ในตอนนั้นคิดว่าเราครอบครัวจะไปกันทั้งหมด เพราะคุณตาเสียทั้งคน 
แต่ไม่ใช่สรุปก็คือพ่อให้แม่ไปเอง คนที่เหลืออยู่ที่บ้าน เราก็เลยโวยวายว่า แค่ทำให้คนตายครั้งสุดท้ายทำไมไม่ทำ
แต่ก็โดนพ่อด่าต่างๆนาๆ บอกว่าไปแล้วจะทำให้คนตายฟื้นมั้ย มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป ไม่ต้องยุ่ง เราว่ามันก็เป็นความจริง 
แต่เป็นความจริงที่ "เห็นแก่ตัว" โดยนิสัยของพ่อแล้วก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ในตอนนั้นเราไม่เชื่อว่าการที่เราไปเรียนอย่างปกติเราจะเรียนได้ 
เราอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตถ้าไม่ได้ไปงานศพคุณตาแค่สองสามวัน ตอนนั้นทะเลาะกับพ่อขั้นรุนแรงบ้านแตก 
ด้วยเราเชื่อว่าพ่อเห็นแก่ตัวเกินไป และเราคิดว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การเรียนหนังสือแต่เป็นความกตัญญูหรืออะไรต่างๆก็ตามที่ไม่มีสอนในตำรา 
เราตัดสินใจเก็บประเป๋าเพื่อจะหนีออกจากบ้านไปเชียงใหม่คนเดียวทันที แต่ก่อนจะออกไปเราก็เจอพี่ชาย 
ซึ่งเมื่อคุยกับพี่ชายแล้วก็เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่ขัดพ่อ แล้วก็ไม่ยอมให้เราไปคนเดียว 
รุ่งขึ้นเราไม่ยอมไปเรียนหนังสือจนพ่อโกรธแต่ตอนนั้นเราอยากจะทำอะไรก็ได้ให้พ่อคิดได้ ในตอนเย็นเรานั่งร้องไห้อยู่ในบ้าน 
ในใจคิดถึงคุณตา ไหว้สิ่งศักดิ์ในบ้าน นึกในใจว่าขอให้ได้เห็นหน้าคุณตาเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ได้ทำอะไรเพื่อเขา 
ได้แสดงความกตัญญูที่ไม่ทันได้ทำให้ ครั้งสุดท้ายแล้ว แต่แล้วเพื่อนก็โทรมาถามว่าทำไมวันนี้ไม่ไปเรียน เราก็เลยเล่าไป 
เพื่อนก็บอกต่อว่า อ้าวทำไมไม่ไป เราก็บอกว่าไปได้ไงพ่อไม่ยอมให้ไป เพราะต้องหยุดเรียน 
เพื่อนหัวเราะออกมาแล้วก็บอกว่านี่ไงมีโอกาสแล้ว พุธ พฤ ศุกร์ ยันเสาร์อาทิตย์นี้ อาจารย์บอกว่าหยุดยาว เพราะเป็นวันพระใหญ่  (เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีหยุด
เราขอบคุณเพื่อนมากที่บอกและลองไปคุยดีๆกับพ่อ สุดท้ายก็คุยกันเกือบเช้า แล้วก็ได้ไปจริงๆ แต่ต้องไปกับพี่ชายด้วย 
พอไปถึงก็ได้เรียนรู้น้ำใจของคนบ้านนอกที่มาช่วยงาน รู้สึกภูมิใจที่เป็นหลานคุณตามากขึ้นไปอีก 
ได้เรียนรู้ชีิวิตที่ไม่ใช่ชีวิตในห้องเรียน ตอนนั้นถือเป็นจุดครั้งยิ่งใหญ่สุดให้กับความคิดของเราและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่


People you have loved:
ความจริงรักทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนี้ อยู่ที่ว่ารักเขาแบบไหน มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง 
แต่รักมากที่สุดก็คือแม่ เพราะมีเรื่องของความไว้ใจและผูกพันเข้ามาเกี่ยวด้วย


People you have hated:

คนที่เกลียดแบบเกลียดไปเลยคงไม่มี แต่คนที่ทั้งรักทั้งเกลียดในคราวเดียวกัน อาจเป็นเพราะการกระทำของคนเหล่านั้น ที่ทำให้เราต้องรู้สึกเกลียดนิสัยบางอย่าง แต่คงไม่เกลียดทั้งหมด คนเรามันก็มีข้อดีของตัวเอง เขาก็คงมีด้วย เราเชื่อว่าไม่มีใครดีและเลวเพียงอย่างเดียวหรอก


Vocation: 
วันหยุดนี่ถือเป็นสุดยอดของชีวิตในวัยนี้เลย เพราะงานหนักทั้งงานนอกงานในมหาวิทยาลัย ไหนจะต้องเรื่องที่บ้านต่างๆนาๆ
แต่ถึงจะหยุดยังไงก็ได้แค่นอน หรือเอางานเก่ามาทำเท่านั้น
ปกติถ้าเลือกให้ไปพักร้อนอะไรแบบนี้ ก็จะไปบ้านของคุณยายที่เชียงใหม่ เป็นบ้านหลังเล็กๆ เปิดประตูออกไปเป็นทุ่งข้าวและภูเขา มีหมอกตอนเช้า อากาศโปร่ง ร้อนแค่กลางวัน ตอนเช้าจะสบายมาก เคยคิดว่าแก่แล้วจะไปอยู่ที่นั่นและใช้ชีวิตอย่างสงบ 


Avocation:
งานอดิเรกก็คือศิลปะการวาดภาพต่างๆ เป็นเพียงอย่างเดียวที่ชอบมากตั้งแต่เด็กยันโต 
รู้สึกว่าเราทั้งภูมิใจสบายใจที่ได้ทำมัน และไม่รู้สึกเสียเวลาแม้จะใช้เวลากับศิลปะไปเป็นวันๆ็เถอะ


Arts:
ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เคยรู้แน่ชัดว่าอะไรถึงทำให้ชอบ รู้แต่ทำแล้วสบายใจ
พอโตมาก็เริ่มจริงจังกับศิลปะมากขึ้น อยากเรียน อยากทำงานด้านนี้โดยตรง 
ตอนนี้เรียนภาพยนตร์ ถึงไม่ใช่ศิลปะที่ใช้พู่กันวาดแบบศิลปะแขนงอื่น 
แต่มันก็คือการใช้จินตนาการวาด ให้เป็นรูปร่าง มันคือศิลปะที่เรารัก


Beliefs:
เชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในสิ่งต่างๆ

นับถือคริสต์ - พุทธ (แต่เป็นนิกายเซ็น ที่ว่าด้วยความเรียบง่าย
เราเอาคำสอนทั้งสองศาสนาที่เรา "เชื่อ" มารวมกันแล้วเกิดเป็นความเชื่อของเราเอง
ซึ่งเราไม่ถือว่าเป็นการทรยศพระเยซูหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเรานับถือท่านทั้งสองคน
เราคิดว่าไม่มีศาสนาไหนถูกไปซะหมดและผิดไปซะหมด ทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี มีประสงค์ดี 
ต่อให้คนเราประกาศปาวๆว่ารักศาสนาไหน แต่ไม่ได้ทำตาม มันก็ไม่เกิดผลสำเร็จอะไรในชีวิตหรอก


Celebrations: 
ที่บ้านไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษไม่ค่อยจัดงานฉลองอะไรเลย แต่เราจะแสดงความยินดีกันด้วยรอยยิ้มมากกว่า



Life’s lessons:
ประสบการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เราเกิดจนเราตายนั่นแหล่ะ เราคิดว่าทุกๆอย่างที่พบเจอ 
แม้กระทั่งเหยียบโดนหมากฝรั่งที่ถูกทิ้งตามถนน ก็ตาม มันก็สอนให้ต่อไปเราต้องเดินอย่างระวังหรือไม่ประมาทได้
อยู่ที่เราจะนำมันไปคิดหรือเปล่า มันจะเกิดผลก็ตรงนี้ เพราะต่อให้เจอเรื่องใหญ่แค่ไหน แต่ไม่เกิดกระบวนการคิดที่มีประโยชน์เลยมันก็เท่านั้นเอง
เราเจอมาเยอะเลยทั้งเหตุการณ์เล็กใหญ่ ทุกๆอย่างสอนเราทั้งหมด เราอาจไม่ได้เกิดกระบวนการคิดตลอดเวลา 
แต่เราก็พยายามเข้าใจมันไปด้วย นั่นก็คือการสอนตัวเองวิธีหนึ่ง



Future:
อยากทำงานในเบื้องหลังวงการภาพยนตร์ ในตำแหน่งไหนก็ได้ ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้อย่างจริงจังว่าอยากทำอะไร
มีครอบครัวที่สุขสบาย ไม่ถึงกับร่ำรวยล้นฟ้า ขอแค่กลับบ้านมาเจอรอยยิ้ม ไม่มีปัญหาในครอบครัวก็พอ
อยากมีบ้านหลังเล็กๆริมภูเขา ไว้อยู่ในเวลาที่ต้องการความสงบ








"ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตก็คือชีวิต"